Author: pro

on

ร่มกล้วย : โดย สมนึก อิทธิศักดิ์สกุล

หลายคนอาจจะงงว่า ร่มกล้วย คืออะไรหนอ.. แล้วทำอะไรได้บ้าง ติดตามอ่านต่อไปได้เลยครับ

โดยปกติร่มที่ใช้ในการถ่ายภาพก็จะมี 2 ประเภท ก็คือร่มสะท้อนแสง และ ร่มโปร่งแสง หรือ ร่มทะลุซึ่งในแต่ละประเภทก็จะมีรายละเอียดปลีกย่อยแตกแขนงออกไป เช่น

1. ร่มสะท้อน  แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ก็คือ ร่มขาวสะท้อนแสง กับ ร่มเงินสะท้อนแสงซึ่งส่วนใหญ่ก็จะนิยมใช้ร่มขาวสะท้อนเสียมากกว่า เพราะต้องการให้แสงสะท้อนออกมาจากร่ม ได้รัศมีของแสงกว้างขึ้นและทำให้แสงนุ่มนวลลงได้ระดับหนึ่ง
2. ร่มโปร่งแสง ในรายละเอียดจริงๆ ก็ยังมีร่มโปร่งแสงหลายระดับ แต่ไม่ค่อยมีตัวแทนจำหน่ายรายใดเอารายละเอียดมาคุยกัน เช่น ร่มจากประเทศจีน ที่ผลิตภายใต้แบรนด์ของ Fokon ในราคาประหยัดก็จะมีเนื้อผ้าที่ค่อนข้างบาง ให้แสงที่ซอฟท์ในระดับหนึ่ง ส่วนใหญ่สีอาจจะเพี้ยนไปทางสีฟ้านิดหน่อย เพราะอุณหภูมิสีสูงขึ้นเล็กน้อยแต่ถ้าหากเป็นร่มทะลุของ RimeLite ก็จะมีคุณภาพดีกว่า เนื้อผ้าเกรดดีกว่า เนื้อผ้าทอแน่นกว่า มีความหนามากกว่า
ให้แสงที่ซอฟท์กว่า แต่จะกินแสง มากกว่านิดหน่อย และที่สำคัญอีกเรื่องก็คือร่มของ Rime Lite จากเกาหลี มีคุณภาพมาตรฐานยุโรป ให้สีสันที่ถูกต้องกว่าแต่ราคาถูกกว่าของยุโรปเกือบเท่าตัว ซึ่งในความเป็นจริงไม่ว่าร่มสะท้อนแสง หรือซอฟ์ทบ็อกซ์ค่ายไฟแฟลชแบรด์นดังๆก็ว่าจ้างให้โรงงานในเกาหลี อย่าง RimeLite หรือโรงงาน Aurora เป็นผู้ผลิต  

  • ร่มขาวสะท้อน

Re: ประโยชน์ของร่มกล้วย (เอ๊ะ!!! ร่มอะไรกันหนอ ทำอะไรได้บ้าง อ่านได้เลยค่ะ)

        ซึ่งร่มประเภทที่กล่าวมานี้ เมื่อนำไปใช้งานทำให้เราต้องพกร่ม 2 ประเภท เป็นภาระในการพกพาพอสมควรครับที่นี่เราจึงถือโอกาสมาแนะนำร่มกล้วย ร่มกล้วยเป็นชื่อที่ผมคิดขึ้นมาเองเหตุเพราะมันสามารถปอกเปลือกผ้าคลุมออกได้เหมือนเปลือกกล้วย ตรงผนังผ้าคลุมด้านในสีเงินผนังด้านนอกสีดำ เมื่อถอดเปลือกผ้าคลุมชิ้นนี้ออก ก็จะเหลือผ้าดิฟิวเซอร์สีขาวโปร่งแสง ก็ทำให้ร่มขาวสะท้อนแสงกลับกลายเป็นร่มโปร่งแสงทันที อย่างง่ายดาย ครั้นต้องการกลับมาใช้เป็นร่มขาวสะท้อนแสงก็นำเอาเปลือกผ้าชิ้นนี้กลับมาสวมทับ โดยสวมหมวกหัวจุกตรงปลายก้านร่ม เพียงอึดใจเดียวเท่านั้นเองในอดีตร่มประเภทนี้นิยมแพร่หลายแต่เฉพาะวงการช่างภาพมืออาชีพ ราคาค่อนข้างแพงมาก ร่มขนาด 85 ซม.ราคาก็สองพันกว่าบาทแล้ว  แต่ขณะนี้ทางFokon ได้สั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษมาจำหน่ายพร้อมกับชุดทริกเกอร์ในราคาที่ถูกมากๆ เพื่อให้ท่านสมาชิก ได้ทดลองนำไปใช้กันคราวนี้ส่วนใหญ่คนที่รู้จักร่มกล้วย หรือ ร่ม 2 in 1 จะเข้าใจว่ามันทำหน้าที่ได้เพียง 2 อย่างเท่านั้น (ตามชื่อเรียก)นั่นก็คือ

– ร่มขาวสะท้อน 
– ร่มทะลุ (เมื่อถอดผ้าคลุมหลังออก)

แต่ทางบริษัทโปรคัลเล่อร์ยังมีเคล็ดลับวิชามาร ที่เคยอุบไต๋เอาไว้ตั้งแต่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน สมัยที่ยังยึดอาชีพถ่ายภาพโฆษณาซึ่งเราเองก็ถือว่าเป็นยอดมนุษย์ DIY เหมือนกัน ที่สามารถนำเจ้าร่มทรงห่อกล้วยนี้ มาดัดแปลงให้สามารถใช้งานได้ถึง5 อย่าง หรือ 5 ใน 1 เลยทีเดียว

  • ร่มกล้วย หรือ ร่ม 2 in 1

Re: ประโยชน์ของร่มกล้วย (เอ๊ะ!!! ร่มอะไรกันหนอ ทำอะไรได้บ้าง อ่านได้เลยค่ะ)

คราวนี้เรามาลองมาดูกันครับว่าฟังก์ชั่นทั่วๆ ไปของร่มตัวนี้มีอะไรบ้าง แล้วทำไมถึงต้องมีให้เลือกถึง 2 ประเภทและแบบไหนล่ะจะให้แสงที่ซอฟท์กว่าถ้าหากร่มอยู่ในระยะห่างที่เท่ากัน ความนุ่มของแสงน่าจะเท่ากัน ขึ้นอยู่กับสภาพขนาดของห้อง หากห้องมีสภาพที่แคบมีผนังสีขาว มีการสะท้อนกลับมา ร่มทะลุก็อาจจะได้เปรียบกว่า แต่ในความเป็นจริง ขณะเราใช้งานถ่ายภาพบุคคล สังเกตดูว่าตรงจุดที่เราวางร่มถึงตัวแบบ ร่มทะลุมักจะอยู่ใกล้แบบมากกว่า 1 ช่วง 1 คันร่ม โดยที่ไม่ขยับขาตั้งไฟจึงทำให้ร่มทะลุให้ความซอฟท์มากกว่า เพราะร่มทะลุจะยื่นเข้าไปที่ตัวแบบมากกว่าแต่ร่มสะท้อนแสงจะหมุนกลับห่างออกไปจากตัวแบบแต่ถ้าเราถอยร่มทะลุออกให้ห่างเท่ากัน ผมว่าความซอฟท์ของร่มทะลุร่ม ซอฟ์ทกว่ากันเพียงเล็กน้อยเท่านั้นแต่มีเรื่องใหญ่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ผลเอฟเฟคที่ได้เมื่อไปปรากฎบนแววตานั้น โดยส่วนใหญ่หรือแม้แต่ส่วนตัวของผมเองก็เห็นด้วยว่า ร่มทะลุให้ประกายแววตาสวยงามกว่า มีจุดฮอทสปอทอยู่ค่อนข้างจะใจกลางของร่มจากนั้นก็ค่อยมีเฉดออกไปที่ปลายร่มส่วนร่มสะท้อน จะมีจุดดำๆ ตะคุ่มๆ ของหัวไฟอยู่ตรงกลางของร่มและอาจจะเห็นเสาตรงๆของขาตั้งไฟกลับหัวตีลังกาอยู่ในแววตาขนาดของร่มมีให้เลือกหลายขนาด โดยส่วนตัวสำหรับบุคคลทั่วไป ผมคิดว่าร่มขนาด 85 ซม. นั้นก็เพียงพอแล้วโดยเฉพาะเมื่อต้องนำมาใช้กับไฟแฟลสตูดิโอดวงเล็กๆ หรือไฟแฟลชหัวค้อนด้วยแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องใหญ่เพราะองศาการกระจายแสงของไฟแฟลชหัวค้อนแคบมากไม่มีทางเลยที่แฟลชขนาดเล็กจะมีองศากระจายแสงกว้างกว่าร่มขนาด 85 ซม. บางครั้งช่างภาพก็ต้องการให้ร่มมีขนาดเล็กลงยอมปล่อยให้ชายแสงหลุดรั่ว ทะลุขอบร่มออกไปบ้างก็ไม่มีอะไรเสียหาย ร่มใหญ่ไปก็เท่านั้น พกไปไหนเกะกะเสียมากกว่าขนาดรถยนต์ หลายท่านก็ยังมีรถหลายขนาด หลายประเภทให้เลือกใช้งานตามความเหมาะสมร่มสะท้อนแสงในการถ่ายภาพก็เช่นกัน

Re: ประโยชน์ของร่มกล้วย (เอ๊ะ!!! ร่มอะไรกันหนอ ทำอะไรได้บ้าง อ่านได้เลยค่ะ)

** ที่นี้ผมจะมาว่าถึงอีก 3 อย่างที่เหลือที่ผมสามารถใช้เจ้าร่มตัวนี้ทำได้ นั้นก็คืออย่างที่ 3  ร่มเงินสะท้อนแสง ผ้าคลุม สีเงินด้านหลังสีดำ เราก็นำมากลับหัวตัวเสียบครอบ
เพียงแค่นี้เราก็ได้ร่มเงินสะท้อนแสงแล้ว และถ้าหากมีความจำเป็นที่จะต้องเอาร่มคว่ำลง ผ้าเงินชิ้นนี้อาจจะไม่แนบติดกับตัวร่มหล่นตกท้องช้างลงมา ก็เพียงหาไม้หนีบเข็มกลัดอะไรก็ได้มาหนีบ ประคองไว้กับก้านร่มสักสองด้านตรงข้ามกันเพียงแค่นี้ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว

  • ร่มเงินสะท้อน

หากกรณีที่เรานำร่มคว่ำขนานกับพื้น อาจจะทำให้ผ้ามีการหย่อนได้ วิธีแก้ง่ายๆ ให้นำคลิปดำมารั้งเอาไว้แค่นี้เรียบร้อยแล้ว

**อย่างที่ 4 และ 5 ถือเป็นผลพลอยได้ที่หลายคนไม่เคยคิดที่จะเอาไปใช้ ให้เป็นแผ่นรีเฟล็คสีเงินและสีดำให้เป็นประโยชน์เสียเลย ซึ่งมีส่วนช่วยทำให้ได้ภาพที่แปลกออกไปแค่ถอดไฟแฟลชออกร่มเงินสะท้อนแสงก็จะกลายเป็นแผ่นรีเฟล็คไปเสียแล้วพลิกกลับด้านก็จะได้แผ่นรีแฟล็กสีดำอีกอันหนึ่ง

เป็นอย่างไรบ้างครับเจ้าร่มกล้วยๆ สารพัดประโยชน์ ใครสนใจเข้ามาลองและรับไปใช้คู่กับ โปรโมชั่น
ตัวทริกเกอร์ที่เราจัดรายการอยู่ครับ อยากบอกว่าคุ้มมากๆ 
อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับโปรโมชั่นhttp://www.procolorlab.com/Promotion_wireles
s_trigger_set.htm

ส่วนเรื่องเจ้าร่มกล้วยนี้ยังไม่จบเพียงแค่นี้  คราวหน้าผมจะมาอธิบายเพิ่มเติม
ส่วนจะเป็นเรื่องอะไรนั้นคอยติดตามอ่านกันในภาค 2 ครับ

on

ร่มสะท้อนแสงขนาดยักษ์ อีกหนึ่งความภูมิใจของ บริษัท โปรคัลเล่อร์ แลบ ที่ได้สั่งทำร่มขนาด150cmและมีก้ามร่มยาวถึง 92 cm.

ซึ่งทางเมืองจีนถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก ที่มีลูกค้าบ้าๆ อย่างเราที่กล้าสั่งทำร่มใหญ่ขนาดนี้ และจะต้องเพิ่มก้านร่มเป็น 10 ก้าน
เพื่อความแข็งแรงและ ความสวยงาม จากเดิมของร่มขนาด 85 cm  หรือ 110cm จะมีก้านร่มเพียง 8 ก้านเท่านั้น

                      ด้วยระยะห่างของไฟแฟลชถึงร่มที่ห่างมาก ทำให้แสงของไฟแฟลชที่ทะลุร่มก็จะให้ความนุ่มนวลหรือจะสะท้อนกลับก็จะให้รัศมีของแสงที่กว้างมาก และก็ยังคงนุ่มนวลมากกว่าร่มขนาดกลางร่มบิ๊กไซต์ตัวนี้จึงเหมาะกับไฟแฟลชเกือบทุกรุ่นไม่ว่าจะเป็นไฟแฟลชรุ่น Fokon Fame จากเกาหลี หรือ Fokon ND Series ถึงแม้จะมีจานสะท้อนร่มขนาดเล็กก็ตาม ในกรณีหัวไฟรุ่น NDเมื่อลองสังเกตุรัศมีการกระจายแสงของไฟแฟลช หากมองผ่านแสงไฟนำโมเดลลิ่งแลมป์จะรู้สึกเหมือนว่าบริเวณใจกลางของร่มเป็นจุดอับของแสง*แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นเป็นแค่ปัญหาของในการมองเห็นด้วยตาเท่านั้น เพราะหลอดไฟนำแสงอยู่คนละตำแหน่งกับหลอดไฟแฟลชซึ่งในความเป็นจริงนั้น ณ บริเวณเลยใจกลางของร่มไปเล็กน้อยนั้นแสงไฟแฟลชก็ยังคงสว่างเป็นปกติจุดอับของแสง* (ดูได้ที่รูป ND 400 ไฟ full โคม Standard)

“เปรียบเทียบค่า f stopเมื่อใช้ร่มไซส์ 150 cm
ระหว่างไฟแฟลช ND series  และ Fame-4″

                จุดที่ต้องให้ความสำคัญอีกจุดหนึ่งก็คือ องศาการกระจายแสงที่กว้างจนถึงขอบร่มขนาดใหญ่ซึ่งน่าสนใจกว่าความยาวของก้านร่มทำให้ช่างภาพเลือกที่จะดึงก้านร่มให้ห่างออกมาได้มากเท่าไรก็ได้เพื่อให้องศากระจายได้กว้างหลายระดับจากใจกลางถึงขอบร่มมีจะค่าหน้ากล้อง f แตกต่างกันประมาณ 3.6 สต็อป

ภาพแสดงการกระจายแสงที่นุ่มนวลกว่าของร่มขนาด 150 cm
เมื่อเปรียบเทียบกับร่มขนาด 85 cm และ 110 cm&quot

                   สำหรับไฟแฟลชในรุ่น ND กับจานใส่ร่มมาตราฐานที่มาในชุด ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีพอตัวแต่ถ้าหากหวังผลให้แสงกว้างขึ้นไปอีก ก็อาจจะนำจานร่มของรุ่น Fame หรือไฟแฟลชตระกูลของ Rime LITE ในรุ่น FRH-05 ซึ่งมีองศาการกระจายแสงที่กว้างกว่าได้ค่าแสงตรงขอบร่มเพิ่มขึ้นมาอีกครึ่งสต็อปถ้าหากเป็นหัวไฟของรุ่น Rime LITE  ถือได้ว่าองศาการกระจายของแสงจะกว้างกว่าของ NDถ้าสังเกตุดูจะเห็นว่าได้แสงเพิ่มขึ้นอีกครึ่งสต็อป แต่จะต้องโมดิฟายเจาะรูเพื่อเสียบร่มใหม่ให้รูนั้นตรงกับตำแหน่งของรุ่น ND หรือจะให้กว้างกว่านี้ก็ได้แต่ก็ต้องโมดิฟายจานรีเฟล็คเตอร์ ที่มีองศาการกระจายแสงที่กว้างกว่านี้ซึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทางทีมงานของโปรฯกำลังทดลองอยู่แต่ถ้าจะให้ลงตัวที่สุดไฟแฟลชในตระกูล Rime Lite ตั้งแต่ Fokon รุ่น Fame ที่ออกแบบตำแหน่งของหลอดไฟแฟลชให้แสงกระจายกว้างกว่า สามารถควมคุมแสงจากบริเวณใจกลางของร่ม แตกต่างกับแสงที่ขอบๆของร่ม เพียง 1.6 สต็อปเท่านั้นเอง Ffp.โดยใช้จานรีเฟล็คเตอร์ร่ม ที่มีให้มากับในชุดอยู่แล้ว สำหรับท่านใดที่ตัองการถ่ายภาพในลักษณะที่ต้องการแสงกว้างๆ และนุ่มนวลด้วยนั้น ลองยกหูเข้ามาคุยกันได้ครับ

on

                 ขาตั้งเซนจูรี่ ชื่อนี้มาจากไหน? นี่คือคำถามของเพื่อนผมคนหนึ่งที่อยู่นอกวงการถ่ายภาพที่มาช่วยผมถ่ายภาพเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว เพราะทึ่งในความสามารถของขาตั้งที่มีแขนยื่นออกไป หนีบจับโน่น จับนี่เต็มไปหมดในสตูดิโอ ทำให้ผมเห็นถึงคุณค่าของมันว่าหากในสตูดิโอไม่มีขาตั้งเซ็นจูรี่ เราก็แทบจะเรียนสถานที่นั้นๆ ว่า
“สตูดิโอถ่ายภาพ” ไม่ได้เลย ด้วยเหตุผลหลากหลายที่มาที่ทำให้เราเรียกว่า เซ็นจูรี่ ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้

                   แรกเริ่มของขาตั้งเซ็นจูรี่นี้เริ่มเป็นที่รู้จัก และใช้งานในวงการถ่ายภาพยนต์ตั้งแต่ยุคปี 1974 โดยโรงงาน  Matthews  ซึ่งในขณะนี้แมทธิวส์ ก็ยังยืนหยัดผลิตขาตั้งไฟที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เป็นความคุ้นเคยของผู้ใช้งานที่นิยมหยิบจับขาตั้งที่มีขนาดความสูงที่ 100 นิ้ว หรือ 254 ซ.ม. ซึ่งคำว่า เซนจูรี่ก็มีความหมายว่า ศตวรรษ หรือ 100 ปี

                    หรืออาจจะเป็นเพราะรูปทรงของขาตั้งฐานล่าง ที่เป็นรูปตัว C ที่สามารถขยับซ้าย ขวา หน้า หลัง ได้อย่างสะดวกสบายก็เพราะระดับของขาตัว C นั้นมีระดับความสูงต่ำที่ไม่เท่ากัน ทำให้มันวางซ้อนไปซ้อนมาได้

on

เคล็ดลับของการถ่ายภาพด้วยไฟแฟลช 5 ประการ
ภาคพิเศษ Butterfly Light

          

                     ทริคการถ่ายภาพด้วยไฟแฟลช ภาคพิเศษ กับการจัดแสงแบบ Butterfly Lighting โดยใช้แสงไฟแฟลชเพียงดวงเดียว ไม่ว่าจะเป็นไฟแฟลชหัวค้อน หรือ       ไฟแฟลชสตูดิโอ ก็สามารถถ่ายภาพในลักษณะนี้ได้เช่นกัน

            หลายต่อหลายท่าน คิดว่าการจัดแสงด้วยไฟแฟลชหรือไฟต่อเนื่องจะต้องวางตำแหน่งของแสงมาจากทางด้านซ้ายหรือขวา  
เพื่อให้แสงเข้ามาที่ด้านหนึ่งของใบหน้า และอีกด้านมีเงามืดเท่านั้น หรือต้องจัดแสงแบบเรมบรานด์ทถึงจะทำให้ภาพมีมิติไม่แบน แต่ไม่ค่อยกล้าที่จะวางไฟแฟลชไว้ตรงกล้องเพราะคิดว่าอย่างไรภาพก็คงจะแบน ไม่มีมิติ เหมือนกับการที่ใช้ไฟแฟลชเสียบอยู่เหนือกล้อง ที่ถ่ายอยู่เป็นประจำๆ  แต่การถ่ายภาพแบบนี้ถึงแม้จะวางไฟไว้ตรงกลางตรงกับตำแหน่งกล้อง พอดีก็จริงอยู่ แต่จะต้องยกไฟให้สูงขึ้นไปประมาณ 45 องศาหรือ 50 องศา ถึงจะได้เงาใต้จมูกเป็นรูปผีเสื้อกำลังโบยบินอยู่ใต้จมูก

            ในกรณีถ้าถ่ายหน้าตรงจะเห็นได้อย่างชัดเจนสำหรับตัวแบบที่มีดั้งจมูกสักหน่อย เราก็จะสังเกตุเห็นเงามืดใต้เบ้าตา เห็นการแรงเงา บางๆ ใต้โหนกแก้มทั้ง สองข้าง เห็นเงาใต้ริมฝีปาก เห็นเงาใต้คางสิ่งเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ทำให้ภาพนี้ดูมีมิติขึ้นมาบรรยากาศของภาพก็ทำให้ชวนดู ชวนสงสัย ดูลึกลับ มีอะไรให้คิดจินตนาการต่อได้ แสงแบบ Butterfly นี้สามารถนำไปถ่ายภาพ ได้ทั้งผู้ชาย ผู้หญิงหากเป็นผู้ชายก็อาจจะไม่ต้องใช้แผ่นรีเฟล็กสีขาว ที่จะไปวางช้อนใต้คางเพื่อเพิ่มรายละเอียด ยอมให้ในเงามืด ดำเข้มขึ้นมาอีกหน่อยให้เงาเบ้าตาดำลึกเข้่าไปอีกหน่อยชวนให้คิดถึงบรรยากาศแบบเจ้าพ่อๆอย่าง  GodFather อะไรทำนองนั้น เลยครับ แต่การถ่ายภาพในลักษณะนี้ ควรจะมีขาตั้งไฟแบบมีแขนบูมยื่นเข้ามาทำให้หัวไฟอยู่ตรงกลาง ตรงแนวเลนส์พอดี โดยที่ไม่เห็นขา ตั้งไฟ หรือจะใช้ขาตั้งบูมตัวนี้ไปใช้วางเป็นตำแหน่งไฟฟิลอินลบเงา ให้ตำแหน่งหัวไฟที่ลบเงาอยู่เหนือกล้องของช่างภาพ วางอยู่ ตรงกลางพอดี เพราะช่างภาพทั่วไปมักจะต้องหลบขาตั้งไฟลบเงาตัวนี้ออกไปทางด้านข้างไม่ไปทางซ้ายก็ขวา สัก 50-100 ซม.เนื่องจากส่วนใหญ่ช่างภาพมักกลัวที่ถอยหลังมาชนขาตั้งไฟหากต้องการที่จะวางไฟไว้ที่ตำแหน่งหลังกล้อง ดังนั้นขาบูมคือสิ่งจำเป็น ที่ผมอยากจะแนะนำเป็นขาบูมนั้นก็เพราะเราสามารถยืดและหดแขนบูมได้ ล็อกได้เหมือนขาตั้งไฟทั่วๆ ไป ปลายอีกด้านหนึ่งมีถุงใส ขวดน้ำ หรือ ใส่ถุงทราบ ไว้เพื่อถ่วงน้ำหนักให้บาลานท์กับหัวไฟสามารถพับเก็บและสวมกลับเข้ามายัง เสากลางของขาตั้งได้อย่าง มิดชิด สะดวกรวดเร็ว ขนย้ายง่าย อีกทั้งยังแปลงกายกลับมาเป็นขาตั้งไฟธรรมดา ๆ ได้อีกด้วยนอกจากนั้นขาบูมนี้ยังดัดแปลงไปใช้ถ่ายภาพแนวอื่นได้อีกมากมาย และที่สำคัญที่สุดของการถ่ายภาพสินค้านั้นขาบูม เป็นสิ่งที่จำเป็นมากครับ

            อุปกรณ์ประกอบอีกตัวที่จะต้องใช้ก็คือร่มทะลุ น่าจะให้ความซอฟต์ของแสงได้พอดี ไม่นุ่มจนเกินไปแต่ก็มีข้อควรระวังอยู่นิดหน่อยหากต้องการเงาใต้จมูกเป็นรูปผีเสื้อก็ควรระวังตำแหน่งของใบหน้าหากเงยหน้ามากจนเกินไปก็อาจจะไม่มีเงาผีเสื้อใต้จมูกที่สวยงามบางครั้งตัวแบบอาจจะหันหน้าไปทางซ้ายนิด ขวาหน่อยก็ได้นะครับ
เพียงแต่ภาพที่ออกมากอาจจะไม่ได้เงาผีเสื้อใต้จมูกอย่างชัดเจนแต่ก็ไม่ได้เป็นสาระสำคัญมากนัก เทคนิคง่ายๆ เพียงแค่นี้ท่านก็สามารถสรรค์สร้างแสงในการถ่ายภาพได้อย่างสวยงาม แตกต่างลองดูตัวอย่างภาพแล้วนำไปต่อยอดกันดูนะครับ  สำหรับ 10 ท่านแรก ที่ติดตามคอลัมน์นี้  เพียงท่านค้นหาภาพถ่าย ในสไตล์การจัดแสงแบบ Butterflyในรูปแบบที่สวยงามไม่จำเป็นว่าต้องถ่ายเองนะครับ  จากนั้นส่งมาที่  procolorlab.th@gmail.com พร้อม ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรที่สามารถติดต่อกลับได้สะดวก ท่านจะได้รับพวงกุญแจ White Balance Control ที่คุณไม่สามารถหาซื้อได้มูลค่า 1,000 บาท ไปเลย

on

ภาคที่ 5

                   ทริคการถ่ายภาพภาคสรุป ภาคที่ 5 ที่ดุเดือดเข้มข้นยิ่งขึ้น กับการถ่ายภาพย้อนแสงเรียกว่า อยากได้ลูกเสือต้องเข้าถ้ำเสือ ต้องกล้าได้กล้าเสีย ถึงจะได้ภาพที่แปลกแตกต่างออกไป

                    ลองนึกดูว่าทำไม เรามีแสงจากดวงอาทิตย์เพียงดวงเดียว มีแผ่นรีเฟล็ก 1 แผ่น ก็สามารถสร้างสรรค์ภาพออกมา ได้อย่างสวยงาม งั้นทำไมเราไม่จำลองแสงไฟแฟลชให้เหมือนแสงพระอาทิตย์ยามสาย8-9 โมง หรือ บ่าย 4-5 โมงเย็น ที่ย้อนแสงมาทางด้านหลัง ของนางแบบ จนเกิดแสงแฮร์ไลท์ สว่างไสว ยกแผ่นรีเฟล็กดีดแสงกลับเป็นฟิลอิน เพื่อเพิ่มรายละเอียดในเงามืดบนใบหน้าเพียงแต่เอาไฟแฟลชหัวโมโนที่มีไฟนำแสงสว่างๆ สักหน่อย

                    หากถ่ายภาพภายในสตูดิโอก็พอที่จะมองลักษณะของแสงที่สะท้อนกลับจากแผ่นรีเฟล็กได้ ในกรณีต้องการถ่ายครึ่งตัว ให้วางหัวไฟไว้ด้านหลังค้อนไปทางซ้ายหรือขวาเล็กน้อย โดยห่างจากตัวแบบประมาณ 1-2 เมตร  แต่หากต้องการ ถ่ายภาพเต็มตัว ต้องเลื่อนหัวไฟออกห่างไปประมาณ  2-3 เมตรจากนั้นก็วางแผ่นรีเฟล็กไว้ฝั่งตรงข้ามให้ทำมุมกันพอดี  เพื่อให้ได้แสงสะท้อนกลับสูงสุด เปรียบเหมือนเป็นแสงเมนไลท์ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็ปล่อยให้สะท้อนกลับจากผนังห้อง
หรือปล่อยให้แสงต่อเนื่องรอบข้างผสมเข้ามา โดยใช้ชัตเตอร์สปีด ให้ต่ำลงก็จะมีผลให้ในส่วน เงามืดสว่างในกรณีที่สภาพแสงต่อเนื่องโดยรอบ หรือแสงกลางแจ้งนั้นมีค่าความสว่าง ที่ไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ถ้าหากต้องการให้ฉากหลังหรือแสงที่อยู่ในเงา มีน้ำหนักมืดที่สุดก็ให้ปรับสปีดชัตเตอร์ให้สูง ที่สุดเท่าที่กล้องรุ่นนั้นสัมพันธ์กับไฟแฟลช

                     ถ้าต้องการให้แสง ที่สะท้อนกลับนุ่มนวลก็ใช้ด้านสีขาว แต่ถ้าต้องการให้แสงแข็งหน่อย ก็พลิกแผ่นรีเฟล็กกลับไปอีกด้านเป็นสีเงิน ซึ่งน้องนางแบบก็ไม่ต้อง ทนตาหยีสู้กับแสงแดดที่รุนแรงสว่างตลอดเวลาอย่างต่อเนื่องแต่ถึงไม่มีไฟแฟลชสตูดิโอ ไฟแฟลชหัวค้อนทั่วๆ ไป ก็สามารถใช้แทนได้เช่นกัน เพียงปรับองศาการกระจาย ของแสงให้กว้างหน่อย แต่อาจจะเสียเปรียบไฟแฟลชสตูดิโอนิดหน่อยตรงที่ไม่มีไฟนำแสงเท่านั้นเอง  อาจจะทำให้มองไม่เห็นแสงไฟแฟลชแฟร์ย้อนแสงเข้าเลนซ์ได้ เท่านั้นเอง แต่ถ้ามีแสงจากไฟนำ ก็ให้สังเกตแสงไฟที่ตกกระทบที่ผิวเลนส์ทดลองถ่ายภาพดูสักระยะหนึ่งก็จะเข้าใจ สามารถแก้ปัญหาแสงแฟร์นี้ได้ไม่ยากนัก อาจจะให้ใครสักคนช่วยถือแผ่นกระดาษทึบแสง มาบังคัดแสง ไฟแฟลชที่ย้อนแสง โดยให้ห่างจากตัวกล้องประมาณ 30-50 ซม. การถ่ายภาพย้อนแสงในลักษณะนี้ ถึงแม้จะใช้เลนส์ฮูดก็อาจจะไม่สามารถป้องกันแสงแฟร์ได้ทั้งหมด แต่ปัจจุบันก็เป็นเรื่องโชคดี ของน้องๆ ที่ใช้เลนซ์รุ่นใหม่ๆ มีโค้ตติ้งป้องกันแสงสะท้อน สามารถตัดแสงแฟร์ออกไปได้มาก ปัญหาเรื่องนี้ก็เลยไม่ใช่ปัญหาใหญ่เท่าไรนัก แต่ในบางกรณีแสงที่แฟร์เข้ามาเป็นดวงๆ กลับทำให้ภาพสวยงาม และดูแปลกตามากขึ้น                                                                                                          

                    จากนั้นก็ครอปภาพเข้าไปให้ใกล้หน่อย โดยเน้นที่ใบหน้าแล้วค่อยๆ ไล่ค่ารูรับแสงให้สีผิว ที่ใบหน้า ในฝั่งที่มีแผ่นรีเฟล็กดีดแสงสะท้อนกลับให้มีสีผิวที่ตรงกับตัวแบบ เพื่อให้ได้ค่า Normal Exposure เพียงแค่นี้คุณก็จะได้ภาพที่สวยงามแล้วครับ 

on

ภาคที่ 4

                   ครั้งนี้เราจะมากล่าวถึงเรื่องที่ค่อนข้างเข้าใจลึกลงไปสักเล็กน้อย นั้นก็คือRatio หมายถึง อัตราส่วนของแสง ที่เรามักจะเรียกทับศัพท์ว่า เรโช ซึ่งเป็นเรื่องง่ายๆแต่ก็สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับผู้ที่เพิ่งเข้าสู่กระบวนการถ่ายภาพในระดับแอดวานซ์อยู่ไม่น้อย ผมจึงนำความมาขยายให้ฟังเพิ่มเติมเรามาทดลองถ่ายภาพจริงกับ ไวร์เลสทริคเกอร์  2 in 1 ที่ใช้ไฟแฟลช 2 ตัวบนไวร์เลสตัวเดียวยิงแสงทะลุร่มโปร่งแสงเพื่อเป็นแสง main light (ไฟหลัก)และไฟแฟลชอีกตัวใช้เป็นไฟลบเงา แต่แนะนำให้เปิดไฟแฟลชทดลองถ่ายที่ละดวงดีกว่ายิงแสงสะท้อนขึ้นไปบนฝ้าเพดานสีขาวจากนั้นก็เริ่มเพิ่มกำลังของไฟแฟลช ที่ใช้ fill in (ลบเงา) แล้วค่อยๆเพิ่มไล่แสงให้สว่างขึ้นไปเรื่อยๆเพื่อฝึกฝน เพียงแค่นี้คุณก็สร้างสรรค์แสงเงาของภาพได้อย่างสวยงามแล้วแต่ส่วนใหญ่หลายท่านที่นับหนึ่งทดลองถ่ายภาพ ถึงแม้จะมีเครื่องวัดแสงอยู่ในมือก็อาจจะสงสัยว่าทำไมเวลา ทดลองถ่ายภาพในอัตราส่วนของแสงที่แตกต่างกันที่ 1 สต๊อป ถึงไม่ค่อยจะมีเงาที่จัดจ้านเข้มปึกปัก เหมือนกับในภาพตัวอย่าง 

                  ในฉบับนี้ผมจึงถือโอกาสเฉลยความลับเสียก่อนว่า คนส่วนใหญ่มักจะใจร้อนที่จะวาง main light (ไฟหลัก) และ fill in light (ไฟลบเงา)  ไปพร้อมๆ
กันโดยไม่สังเกตุให้ดีว่าตำแหน่งที่วางไฟ main light นั้น ยังวางไปทางด้านข้างไม่มากพอ ที่จะทำให้มีเงาบนใบหน้า ในเมื่อบนใบหน้ายังไม่มีเงามันก็ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะใช้ไฟลบเงาเพิ่มขึ้นมา ดังนั้นหากเป็นไปได้ ในกรณีที่ท่านมีไฟสตูดิโอที่มีแสงไฟนำ ควรปิดไฟภายในห้องให้มืดสนิท แต่ถ้าไม่มีก็ต้องใช้ความพยายาม เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย จากนั้นให้ทดลองถ่ายภาพด้วยไฟ main light เพียงดวงเดียว ให้ได้แสงเงาบนใบหน้าได้เสียก่อน  แต่ในบางสถานะการณ์ ในสภาพห้องที่มีสีขาวหรือสีโทนสว่างๆ และไม่กว้างมากนักมันจะมีแสงที่สะท้อนกลับ ทำให้เราได้แสงเงาที่สะท้อนกลับได้พอดีแล้วก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเพิ่ม ไฟลบเงาก็ได้แต่ในภาพตัวอย่างนี้ทางทีมงานได้ทดลองถ่ายภาพกับไวร์เลสทริกเกอร์รุ่นPR 02A ซึ่งสามารถใส่ไฟแฟลชพร้อมกัน 2 ตัว  แต่เริ่มถ่ายด้วยแฟลชดวงที่ยิงทะลุร่มไปเพียงดวงเดียวแถมตั้งแผ่นโฟมแผ่นใหญ่สีดำบังไม่ให้แสงด้านข้างสะท้อนกลับเข้ามา ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมในเงามันถึงเข้มได้ใจขนาดนั้นหากนำเครื่องวัดแสงไปวัดค่า f.stop ก็จะให้ได้ว่า f.stop ในส่วนของเงาจะแตกต่างกับ f.stop ของ main light อยู่ถึง 5 สต๊อปจากนั้นก็ค่อยๆเริ่มเปิดไฟแฟลชเริ่มตั้งกำลังที่อ่อนสุดค่อยๆเพิ่มกำลังของไฟแฟลช ไล่ไปเรื่อยๆ ครั้งละ 1 สต๊อป จนความแตกต่างลดลงไปเหลือเพียง 1 สต๊อปจะเห็นได้ว่าที่ตำแหน่งแสงแตกต่างกันที่ 1 สต๊อป ภาพเริ่มขยับไปทางโอเว่อร์ขึ้นเล็กน้อยดังนั้นเราอาจจะขยับหน้ากล้องให้เล็กลงมาสัก .3 หรือ .5 สต๊อป เพื่อให้ภาพยังคง Normal เท่าเดิม เพราะแสงไฟลบเงาที่ไล่ตามเข้ามาใกล้แสงไฟหลัก ลองมาดูภาพตัวอย่างกันครับ

ติดตามเคล็ดลับของการใช้ไฟแฟลชอย่างมืออาชีพต่อไปในฉบับหน้าครับ ฉบับหน้าเป็น เคล็ดลับสุดท้ายแล้วนะครับผม

on

ภาคที่ 3

           เน้นไปตรงจุดที่สวย ด้วยไฟแฟลชผ่านรังผึ้งฮันนี่โคมกริด ที่ทำจากแผ่นพลาสติกลูกฟูกหรือที่เรียกติดปากว่าฟิวส์เจอร์บอร์ด หลังจากที่ได้เห็นไอเดียฝรั่งเค้าเอาหลอดดูดกาแฟสีดำ มาตัดเป็นแท่งสั้นๆนำมาตัดหน้าไฟแฟลชในฉบับนี้ลองมาดูไอเดียแบบไทยๆ และเทคนิคการถ่ายภาพด้วยฮันนี่ โคมกริดแบบทำเองกันครับหาแผ่นลูกฟูกที่มีความหนาประมาณ 5 มิล สีดำ หรือ สีขาว แล้วแต่ความชอบ วิธีง่ายที่สุดก็คือ ตัดแผ่นลูกฟูกขวางร่องให้มีความหนาประมาณ 1-2 ซ.ม. ให้ยาวเท่ากับหน้ากว้างของหน้าไฟแฟลชประมาณ 10 ชิ้น นำเทป 2 หน้าอย่างบาง ติดผนึกแผ่นลูกฟูกซ้อนต่อไปเรื่อย จนได้ขนาดเท่ากับหน้ากว้างของไฟแฟลช พกสก๊อตเทปหน้ากว้างนำแผ่นลูกฟูกที่ทำเสร็จแล้ว ปะไปที่หน้าไฟแฟลช โดยใช้เทปพันล้อมรอบแต่จะต้องระวังต้องนำกล่องลูกฟูกที่ตัดเสร็จแล้ว จะต้องได้ฉาก ขนานกับหน้าไฟแฟลช อย่าให้ตะแคงก้มหรือเงย ขึ้น ลงหรือเบี่ยงซ้ายหรือขวา นั้นจะมีผลทำให้แสงทะลุลอดออกมาได้น้อยหรือทำให้แสงที่ส่องลอดออกมาไม่ตรงกับจุดที่เราต้องการหรือหากต้องการวิธีที่แม่นยำกว่า แต่อาจจะต้องลงทุนเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย แต่จะได้ในเรื่อง ความสะดวกในการพกพาและความรวดเร็วและกระทัดรัด แต่จะต้องมีฝาครอบแผ่นดิฟิวส์เซอร์เสียก่อน นำมาตัดฉลุด้วยใบเลื่อยเหลือขอบเล็กน้อย ในบางกรณีเจ้ากล่องฝากรอบนี้ บางยี้ห้ออาจจะเป็นพลาสติกอย่างนิ่มก็อาจจะเอาคัดเตอร์กรีดตัดออกได้  แต่ถ้าเป็น แบบเกรดดีๆ มักจะแข็งมากจนไม่สามารถใช้คัดเตอร์กรีดได้แนะนำให้ใชใบเลื่อยฉลุ ซึ่งอาจจะต้อง ออกแรงสักหน่อย  จากนั้นนำแผ่นฟิวเจอร์บอร์ดมากรีด ตัดด้วยคัตเตอร์ แต่อย่าให้ขาดจากกัน สลับหน้าหลังให้มีระยะห่างเท่าๆกันจากนั้นนำมาพับสลับไปสลับมา ค่อยๆตัดด้านขอบนอกให้มีความโค้งมน เมื่อพับแล้วสามารถนำกลับเข้ามาใส่ในฝาครอบได้พอดีแผ่นลูกฟูสีดำนี้เมื่อนำไปสวมหน้าไฟแฟลชแล้ว ตรงใจกลางของจะทำให้ค่าของแสง ลดลงไปเพียงเล็กน้อย .1 หรือ .2เท่านั้นเอง

            แผ่นลูกฟูกยิ่งมีความหนามาก แสงก็ยิ่งมีองศาการส่องสว่างแคบลงโดยเบื้องต้นแนะนำให้ทดลองใช้ที่ความหนาประมาณ 1 ซ.ม. หรือ 1.5 ซ.ม. หากความหนาที่มากกว่านี้ ถ้าเล็งไม่ดี หรือตัวแบบมีการขยับตัว ก็อาจจะทำให้การส่องแสงนั้นพลาดเป้า ส่วนแผ่นลูกฟูกสีขาว จะให้แสงที่มีการไล่เฉดนุ่มนวลขึ้นแต่กลับสูญเสียแสงมากกว่าฮันนี่โคมลูกฟูกสีดำเล็กน้อย แผ่นลูกฟูกสีขาวยิ่งหนาก็ยิ่งมีผลทำให้ภาพมีโทนสีที่ออกไปทางวอร์มเล็กน้อยหากจะต้องนำแผ่นลูกฟูกที่ทำด้วยแผ่นพลาสติกนี้ มาติดกับกระบอกโฟม จะต้องระวังการติด อย่าให้ตะแคง ควรจะแนบให้ติดกับด้านหน้าของไฟแฟลชไปเลยจะให้ผลที่ดีกว่าครับเมื่อใส่รังผึ้งตัวนี้เข้าไปแล้วจะทำให้เราได้เงาของแสงที่คมชัดเจนมีทิศทางที่สวยงามดังนั้นเงามืดบนใบหน้าก็ค่อนข้างชัดเจน หรือค่อนข้างมืดเราจะปล่อยให้เป็นไปตามอารมณ์ของแสงหรือหากต้องการให้เงามืดสว่างขึ้น ก็ต้องพึ่งไฟแฟลชสะท้อนร่มหรือสะท้อนเข้าไปที่กำแพง หรือฝ้าเพดานสีขาวแต่จะไปหวังพึ่งแผ่นรีเฟล็กก็คงไม่ค่อยได้มากนัก เพราะปริมาณแสงที่ค่อนข้างแคบทำให้ผลของแสงสะท้อนน้อยตามไปด้วย

            เมื่อใส่รังผึ้งตัวนี้เข้าไปแล้ว จะทำให้เราได้เงาของแสงที่คมชัดเจนมีทิศทางที่สวยงาม ดังนั้นเงามืดบนใบหน้าก็ค่อนข้างชัดเจน หรือค่อนข้างมืด เราจะปล่อยให้เป็นไปตามอารมณ์ของแสงหรือหากต้องการให้เงามืดสว่างขึ้น ก็ต้องพึ่งไฟแฟลชสะท้อนร่ม หรือสะท้อนเข้าไปที่กำแพง หรือฝ้าเพดานสีขาวแต่จะไปหวังพึ่งแผ่นรีเฟล็กก็คงไม่ค่อยได้มากนักเพราะปริมาณแสงที่ค่อนข้างแคบทำให้ผลของแสงสะท้อนน้อยตามไปด้วย  ท่านใดที่ไม่อยากจะเสียเวลาทำ ทางทีมงานพอจะมีชุดกล่องฮันนี่โคมให้ฟรี 20 ชุดโดยขอให้ท่านระบุไฟแฟลชของท่านมาว่าใช้รุ่นไหน ทางทีมงานจะไปหาซื้อหน้ากากฝาครอบพลาสติกสีขาวรุ่นนั้นมาเจาะเป็นช่องทะลุให้เสร็จ  จุดเด่นของฝาครอบก็คือการควบคุมระนาบของแผ่นรังผึ้ง ไม่ให้ก้มเงยหรือตะแครงไปซ้ายหรือขวา ใช้งานได้อย่างแม่นยำ โดยชำระเงินค่าจัดส่งและค่ากล่องฝาครอบมูลค่า 300 บาท ซึ่งปกติฝาครอบนี่มีมูลค่าประมาณ 300-400 บาท ซึ่งเป็นแบบเกรด อย่างดี แข็ง แน่นกระชับไม่ยืดหรือหลวมเมื่อใช้ไปนานๆพร้อมกันนี้ท่านจะได้รับแผ่นฮันนี่โคมลูกฟูกสีดำขนาดความหนาที่ 1 ซ.ม.และ 2 ซ.ม. อย่างละ 1 แผ่น ส่งถึงบ้านท่านสนใจคลิ๊กเข้ามาดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.procolorlab.com  แจ้งความประสงค์บอกชื่อรุ่นของไฟแฟลชที่คุณใช้งานมาด้วย พร้อมสลิปการโอนเงิน 300 บาทพร้อมค่าจัดส่งเรียบร้อยแล้ว  เพียง 20 ท่านแรกเท่านั้น

on
ภาคที่ 2

                      หลังจากที่ได้เรียนรู้วิธีใช้ไฟแฟลชผ่านแผ่น ดิฟิวส์เซอร์ ในภาค 1 ฉบับที่แล้ว มาคราวนี้ต้องมาลองกันสักหน่อย ที่จะต้องดึงเอาไฟแฟลชหัวค้อนออกมาจาก ฮอทชู เหนือกล้อง แยกออกมาตั้งบนขาตั้งไฟ  หรืออาจจะต้องให้เพื่อนหรือผู้ช่วยคอยถือไฟแฟลช เพื่อยิงส่องไฟแฟลชไปสะท้อนกับฝาผนังด้านซ้ายหรือด้านขวา หรือไม่ก็เงยยิงขึ้นเพดาน

ลองดูภาพตัวอย่างที่เกิดจากการเอาไฟแฟลชหัวค้อนรุ่นถูกๆยี่ห้ออะไรก็ยิงสะท้อนเข้าไปที่ผนังสีขาวให้แสงสะท้อนออกมาผลลัพธ์ที่ได้ออกมานั้นไม่ได้ต่างอะไรกันเลย กับไฟแฟลชยี่ห้อหรูแบรน์ดเนมราคาแพงแม้แต่น้อย

            หลายท่านก็อาจจะงงว่า แล้วถ้าไม่ใช้ขาตั้งไฟ หรือผู้ช่วย เราก็บิดหัวไฟแฟลช หันไปทางซ้ายหรือด้านขวาหรือแม้กระทั่งเงยยิงขึ้นฝ้าเพดาน  ซึ่งเราทำได้อยู่แล้วแต่มันขาดอิสระในการเคลื่อนย้ายมุมกล้องหากเราต้องเคลื่อนย้ายกล้องซึ่งมีไฟแฟลชติดอยู่บนกล้อง เข้าใกล้ตัวแบบมากขึ้นหรือถอยห่างออกมาแสงไฟแฟลชที่จะไปตกตรงใบหน้าของแบบก็จะเปลี่ยนไปค่าความเข้มของแสงก็ไม่คงที่อาจจะโอเว่อร์หรืออันเด่อร์ไปนี่ยังไม่นับในกรณีที่เราจะต้องตั้งตะแคงกล้องจากแนวนอนมาถ่ายเป็นแนวตั้งก็ต้องมาเสียเวลาบิดหัวไฟแฟลชกลับไปกลับมายุ่งยากเสียเวลาและอาจจะได้ตำแหน่งไม่ถูกใจแล้วถ้าต้องย่อตัวถ่ายมุมต่ำหรือมุมสูงย้ายกล้องมาทางซ้าย หรือทางขวาแสงเงาที่ตกลงบนตัวแบบก็ไม่แน่นอนควบคุมอะไรไม่ได้เลยครั้นจะอาศัยคนช่วยถือไฟแฟลชถ้าไม่มีความรู้เรื่องการถ่ายรูปมาช่วยถือก็ไม่ได้ดั่งใจอีก เห็นแล้วหรือยังครับว่าจะต้องมีขาตั้งไฟ ขนาดเล็กๆเบาๆสักตัวน่าจะเหมาะที่สุดซึ่งไม่แนะนำให้เอาขาตั้งกล้องมาใช้แทนขาตั้งไฟเพราะเมื่อมันยืดขาตั้งในตำแหน่งสูงสุด ขาตั้งกล้องมันจะกางถ่างออกมาเต็มห้องแล้วมันก็ไม่ได้สูงเพียงพอกับความต้องการ

                เมื่อมีขาตั้งไฟแล้ว สิ่งที่จะขาดไม่ได้ก็คือ แฟลชโฮลเด่อร์(Flash Holder) ที่จะเสียบต่อบนขาตั้งไฟ โดยส่วนบนของโฮลเด่อร์(Holder) สามารถนำไฟแฟลชหัวค้อนมาเสียบต่อได้ทันทีและสิ่งสุดท้าย ที่ขาดไม่ได้ ก็คือตัว เรดิโอสเลฟ หรือ ไวร์เลส ทริคเกอร์  หากตั้งงบประมาณไว้ไม่สูงนักก็พอที่จะมีรุ่นประหยัด ที่สามารถนำมายึดติดกับขาตั้งไฟได้ทันที โดยที่ไม่ต้องซื้อเจ้าแฟลชโฮลเดอร์ สามารถก้มเงยได้ มีช่องเสียบร่มให้พร้อมสรรพ แถมยังใส่ไฟแฟลชใช้งานพร้อมกันถึง 2 ตัว  ตัวหนึ่ง ใช้ยิงทะลุร่มหรือสะท้อนร่มสะท้อนกำแพงให้เป็นแสงหลักหรือที่เรียกว่า Main light ส่วนอีกหัวหนึ่งก็ยิงสะท้อนขึ้นไปที่กำแพงหรือฝ้าเพดานให้เป็นแสงลบเงาหรือฟิลอิน เรียกว่า ยิงกระสุนนัดเดียว ได้นกถึง 2 ตัว บนขาต้ั้งแค่อันเดียว แต่มีแสงถึง 2 แหล่งกำเนิดแสงพร้อมกันไปเลยแต่สุดท้ายจริงๆ คุณจะต้องมีไฟแฟลช หากมี 2 ดวงก็ยิ่งดีเข้าไปกันใหญ่ ในกรณี ที่มีแฟลชของค่าย Nikon,canonอยู่แล้ว ก็แนะนำให้ซื้อไฟแฟลชแมนน่วล ราคาประหยัด กำลังไฟแรงๆ สักตัวเช่น Yongnuo 560 ซึ่งในตัวของมันเองก็มีสเลฟตาแมวรับแสง ติดมาอยู่แล้ว ซึ่งมีมาให้ถึง 2ระบบ S1 เมื่อมีแสงแฟลชมากระทบมันจะปล่อยแสงไฟแฟลชแว๊บออกไปทันที ส่วน S2 ใช้สำหรับกล้องที่มีระบบปรีแฟลช ระบบสเลฟจะสั่งงานในจังหวะไฟแฟลชแว๊บครั้งที่สองแถมยังมีระบบเสียงดังเตือนเมื่ออยู่ในหมวดสเลฟ และยังมีฟังค์ชั่นอื่นอีกมากมายที่ออกแบบมาให้เป็นสเลฟแฟลชโดยเฉพาะ

                 ในกรณีที่ยังไม่มีงบประมาณเหลือพอที่จะซื้อ ไวร์เลสทริคเกอร์ (Wireless Trigger) เจ้าสเลฟที่ติดมาให้แล้วนั้นในรุ่น 560 นั้น มีความไวในการรับค่อนข้างดีมาก ให้คะแนน เกือบเต็ม 100 %  เมื่อนำไปเทียบกับแฟลชค่ายอย่าง Nikon,Canonรายละเอียดเกี่ยวกับ แฟลช Yong Nuo คลิ๊กแต่อย่างไรก็ดีไวร์เลสทริคเกอร์ ก็ยังมีความจำเป็นในกรณีถ่าย Outdoor  หรือ Indoor ที่มีมุมอับหรือเอาไฟแฟลชไปเสียบร่มสะท้อนแสง ใส่ในอุปกรณ์เสริมซึ่งมันอาจจะบังแสงไฟแฟลชเพราะระบบสเลฟแบบโฟโต้เชลล์ในรุ่นที่ว่า มีคุณภาพดีขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้ามีวัตถุมาบังหรือกีดขวางทางเดินของแสง ระบบก็ไม่สามารถทำงานได้เลย แต่เรดิโอสเลฟ(Radio Slave)นั้นทำงานด้วยคลื่นวิทยุสามารถส่งสัญญานผ่านทะลุทะลวงกำแพงสิ่งกีดขวางได้ สเปคขั้นต่ำก็ประมาณ 20-30 เมตร ถ้ามีคุณภาพดีก็จะสั่งงานได้ไกลเป็นร้อยเมตรโดยจะประกอบด้วยตัวรับและตัวส่งสามารถตั้งช่องสัญญาณได้ อย่างน้อยก็ 4 ช่อง ป้องกันไม่ให้ผู้อื่น มารบกวนการทำงานได้  

                  หากเป็นระบบสเลฟตาแมว หากมีแสงไฟแฟลชจากบุคคลภายนอกเข้ามากระทบก็ทำให้ไฟแฟลชของเรแว๊บออกไปด้วย ทำให้เราเสียโอกาส ที่จะได้ภาพเด็กๆ เพราะไฟแว๊บออกไปก่อนที่เราจะกดชัตเตอร์อ่านถึงตรงนี้หลายท่านคงอยากจะมีอุปกรณ์เสริมแล้วใช่ไหมล่ะครับ ถ้าไม่มีอุปกรณ์ก็ทดลองอะไรไม่ได้เลยแต่ทางทีมงานยินดีที่จะมอบให้กับทุกท่านที่อ่านฟรี 1 ตัว มูลค่าประมาณ 2000 บาท แต่ท่านต้องไขว่คว้า หาความรู้เพิ่มเติมอีกนิดหน่อย เพื่อจะพิสูจน์ว่า สนใจจริง เพียงไปค้นหา เจ้าตัวไวร์เลสทริคเกอร์ มาสัก 3 รุ่น 3ยี่ห้ออะไรก็ได้ในเว็บwww.procolorlab.com  แล้วส่งคำตอบมาที่ procolorlab@procolorlab.com เพียง 10 ท่านแรกที่ตอบถูกเราจะนำไปจับฉลากหาผู้โชคดี เพียง 1 ท่าน แต่ท่านที่เหลืออีก 9 ท่านที่ไม่ได้รับรางวัล ก็อย่างเพิ่งน้อยใจทางทีมงานจะมีรางวัลโดยสามารถซื้อสินค้าในราคาพิเศษมาก ๆ ยังไงคอยติดตามได้ที่เว็บนะครับและนี้เป็นเพียงเคล็ดลับ 1 ใน 5 ประการที่ผม Mr.Pro มาแนะนำกับทุกๆ ท่าน คอยติดตามเคล็ดลับอื่นๆของการใช้ไฟแฟลชอย่างมืออาชีพต่อไปในฉบับหน้าครับ

on

ภาคที่1

ไฟแฟลชถือว่าเป็นอุปกรณ์ถ่ายภาพที่ทุกคนไม่สามารถปฎิเสธได้เลยว่ามีความสำคัญเพียงใด แต่เมื่อใช้ไฟแฟลชไปสักระยะหนึ่ง ไม่ว่าไฟแฟลชดวงนั้นจะมีคุณภาพดี ราคาแพงขนาดไหนก็ตาม ทุกท่านก็มักจะบ่นเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า แสงที่ได้ออกมานั้นแบน สีผิวของใบหน้านั้นซีดๆ ทำให้ภาพถูกลดความน่าสนใจลง แต่ก็ต้องทนถ่ายไปอย่างนั้น บางท่านขยันขึ้นมาหน่อย อยากจะสร้างสรรค์งานให้ดูสวยงาม น่าสนใจมากยิ่งขึ้นก็ไปหาซื้อฝาครอบสี่เหลี่ยม สีขาวขุ่นมาครอบ บางครั้งผลที่ได้ก็อาจจะดีกว่า นุ่มนวลกว่าเพียงเล็กน้อย แต่ก็สูญเสียแสงค่อนข้างมาก

วันนี้ผม Mr.Pro มีเคล็ดลับดีๆ ทำให้การถ่ายภาพด้วยไฟแฟลชมานำเสนอทุกๆท่าน นั้นคือ…. สิ่งที่จะทำให้การถ่ายภาพด้วยแฟลช แล้วได้ผลงานที่สวยงามมากขึ้น ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อ เจ้าฝาครอบแฟลช ให้เปลืองเงินกันอีกต่อไป โดยลองไปหาแผ่น PVC ขาวขุ่นมามาใช้แทนที่ครอบหน้าไฟแฟลชกันดูครับ ผลลัพท์ที่ได้นั้นถูกใจมากกว่าแน่นอน ผมจะขอเรียกเจ้าแผ่น PVC ขาวขุ่นนี้ว่า “ดิฟฟิวเซอร์” (Diffuser) ซึ่งปกติแล้วทางบริษัท โปร คัลเล่อร์ แลบ จะทำไปแบบสำเร็จรูป ใช้งานได้เลย ไปแจกให้กับลูกค้าในงาน Thailand Photo Fair เป็นประจำทุกปี เพราะแผ่นดิฟฟิวส์เซอร์ดังกล่าวมันให้แสงที่นุ่มนวลกว่าโดยไม่สูญเสียแสงมากเหมือนกับที่ครอบหน้าแฟลช ทั่วๆ ไป ที่สำคัญมันสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบของแสงได้หลากหลาย ซึ่งจุดเด่นของแผ่นดิฟฟิวเซอร์ มีดังนี้

 

  1. ลักษณะของแผ่น PVC ที่ถูกเจาะเป็นช่องกลมหรือวงรี เพื่อต้องการให้แผ่น PVC นี้สูญเสียความแข็งแรง แผ่นจึงโค้งก้มไปข้างหน้า เพื่อทำให้เกิดมุมของการสะท้อนแสงที่ดีกว่า ทำให้สีของแสงที่ผ่านแผ่น ดิฟฟิวส์เซ่อร์ไม่เพี้ยน

 

on

ผมเองทำธุรกิจมา 20 ปีเต็ม เท่าที่จำความได้ ไม่น่าจะมีศัตรูทางการค้า มีแต่เป็นคู่ค้าให้ความช่วยเหลือกันทุกรายไป ผมเองได้รับความเอ็นดูช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ด้วยดีเสมอมา

เมื่อครั้งในอดีตที่ธุรกิจการล้างฟิล์มสไลด์ยังไปได้ดี คู่แข่งไม่สามารถหาซื้อน้ำยาล้างฟิล์มได้ เพราะทางบ.โกดัก สินค้าขาดสต็อค ผมก็ให้ยืมทุกราย บางแล่บประสบปัญหาในเรื่องการล้างฟิล์ม ขณะนั้นเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำยาล้างสไลด์ของทางโกดักไม่มีอยู่แล้ว ทางเราให้การช่วยเหลือแทนบ.โกดัก เป็นอย่างดี เพราะเราขายน้ำยาล้างสไลด์ จากที่เคยยืมก็เกรงใจต้องหันมาซื้อน้ำยาจากเรา ไม่เคยเหยียบย่ำทับถมสินค้าของคู่แข่งให้ตายคาใต้เท้า จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่คิดจะทำร้ายใครที่เป็นคู่แข่ง
ในอดีตผมเองกับ อาวิรัตน์ ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายขายสินค้าของทางอิลฟอร์ด เมื่อประมาณยี่สิบกว่าปีก่อน มีความสนิทสนมกันมากในฐานะที่เป็นลูกค้า แต่ต่อมาเมื่อผมต้องมาเป็นผมตัวแทนจำหน่าย Kentmere การแข่งขันก็เกิดขึ้นอย่างหนัก แต่ทั้งผมและคุณอาต้องฟาดฟันแข่งขันกัน แต่เมื่อถึงเวลาเลิกงานลงจากสังเวียน ก็ยังนั่งคุยกินข้าวด้วยกันได้อย่างสนิทใจตลอดเวลาที่ยังเป็นคู่แข่งกัน
ทันทีที่คุณอา ได้ลาออกจากบ.เก่า ที่ขายอิลฟอร์ด ก็มาช่วยเป็นที่ปรึกษา เป็นที่ปรึกษาทางการตลาด แบบไม่เรียกร้องค่าจ้าง กอดคอตลุยเมืองจีนมากว่า 10 ปี เพื่อหาสินค้าและแนะนำโรงงานเมืองจีนได้ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ออกมาจำหน่าย วันดีคืนดีใครจะคิดว่าผมจะได้มาเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของอิลฟอร์ด แถมยังมีคุณอา ยังกลับมาช่วยขาย
ถ้าวันนั้นผมเอาแต่ด่า เทสาดเทเสีย ว่าสินค้าอิลฟอร์ด ไม่ดี เพราะเม่งโครตแพง เอาเปรียบลูกค้า ถึงวันนี้ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนสีเสื้ออย่างไรดี
ท่านใดที่ไม่สะดวกที่จะเข้าไปเยี่ยมชมงานโฟโต้แฟร์ พลาดโอกาสโปโมชั่นดีๆ ของทางโปรคัลเล่อร์ได้ยืดเวลาออกไปอีก 7 วัน เลยนะครับ มีสินค้าดีๆแปลกๆใหม่ๆมา ให้เลือกซื้อกันหลายตัว